ปี 2025 ควรเป็นปีที่แฟน ๆ ได้ปรบมือให้ John Cena ในวาระอำลาสังเวียนอย่างสมเกียรติ หลังรับใช้ WWE มายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ พร้อมบทบาท “พระเอกตลอดกาล” ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนดูทั่วโลก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นปีที่เสียงชื่นชมกับเสียงผิดหวังเดินชนกันตลอดทาง จนคำว่า Retirement Tour ที่ควรจบอย่างสวยงาม กลับถูกพูดถึงในมุม “ไม่สมมง” มากกว่าที่ใครอยากให้เป็น
ในมุมของคนดูที่ติดตามกีฬา–บันเทิงแบบจริงจัง รวมถึงคอมมูนิตี้ที่ชอบวิเคราะห์กระแสและการเล่าเรื่องเชิงธุรกิจอย่าง UFA777 เว็บแทงบอล ประเด็นนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องแพ้–ชนะบนเวที แต่มันคือ “การจัดการมรดกของซูเปอร์สตาร์” ว่า WWE เลือกจะยกย่องเขา หรือกำลังทำให้ปีสุดท้ายของเขากลายเป็นบาดแผลที่ไม่จำเป็น

ภาพรวมปีสุดท้าย: โอกาสทองที่ WWE กลับทำให้กลายเป็นวิกฤติ
หากวางโจทย์แบบง่ายที่สุด ปีสุดท้ายของ John Cena ควรมีองค์ประกอบ 3 อย่าง
- เส้นเรื่องที่พาคนดู “ย้อนรัก” และ “ยอมรับการจากลา”
- แมตช์ที่คัดมาแล้วว่าเหมาะกับสภาพร่างกายและสไตล์ของเขา
- ตอนจบที่ไม่หักล้างแก่นหลักของคาแรกเตอร์ “Never Give Up”
แต่ WWE เลือกเปิดไพ่ชุดที่เสี่ยงที่สุด: ให้ Cena พลิกเป็นอธรรม พร้อมโยงกับอำนาจของ The Rock ในบท Final Boss ซึ่งแม้จะสร้างแรงสั่นสะเทือนระดับไวรัลได้จริงในช่วงแรก ทว่าเมื่อเล่าเรื่องไม่ต่อเนื่องและไม่พาไปสู่จุดหมายที่คนดู “รู้สึกคุ้ม” ความตื่นเต้นจึงกลายเป็นความอึดอัดแทน
1) พลิกบทเป็นอธรรม: ช็อกโลกได้…แต่ต้องจ่ายด้วย “ความน่าเชื่อ”
จุดชนวนเกิดขึ้นหลัง Cena ผิดหวังจาก Royal Rumble และกลับมาสู้ต่อใน Elimination Chamber เพื่อคว้าตั๋วไปชิงแชมป์โลก WWE กับ Cody Rhodes ใน WrestleMania 41 ที่ลาสเวกัส เขาชนะตามความคาดหมาย แต่สิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะได้เห็นคือ “การหักมุมแบบสุดทาง”
Cena เล่นงาน Cody แบบสกปรก ทั้งการเตะผ่าหมากและใช้เข็มขัดเป็นอาวุธ ก่อนประกาศกร้าวด้วยไมค์ว่าแฟน ๆ เป็น “พวกจอมปลอม” และเขาจะไม่ทำเพื่อคนดูอีกต่อไป การเทิร์นฮีลครั้งนี้กลายเป็น Talk of the Town ทันที
ทำไมเทิร์นฮีลถึงเป็นดาบสองคม?
เพราะ John Cena ไม่ใช่แค่ซูเปอร์สตาร์ เขาคือ “แบรนด์” ที่ผูกกับเด็ก ๆ คำว่า Never Give Up และภาพจำพระเอกที่ยืนอยู่ฝั่งธรรมะมานานมาก การหักให้เป็นอธรรมทำได้ แต่ต้องมี “เวลา” และ “การปูทาง” มากพอให้คนดูเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชุดแล้วด่าแฟน
2) WrestleMania 41: ได้แชมป์สมัยที่ 17 แต่แมตช์กลับไม่ส่งคุณค่าของโมเมนต์
Cena คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 17 กลายเป็นสถิติสูงสุดของสมาคมตามที่แฟนส่วนหนึ่งรอคอย แต่ปัญหาคือ “วิธีเล่า” และ “คุณภาพแมตช์” ไม่ได้ยกระดับให้เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
คนดูจำนวนมากวิจารณ์ว่าแมตช์น่าเบื่อ จังหวะไม่ไหล และการเอาชนะด้วยกลโกงทำให้ความรู้สึก “สมมง” หายไป จนถูกจัดอยู่ในกลุ่มคู่เอกที่น่าผิดหวังของ WrestleMania
ตาราง: สิ่งที่ควรได้ vs สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
| มุมมอง | สิ่งที่ควรได้จากปีอำลา | สิ่งที่เกิดขึ้น |
| อารมณ์คนดู | อิ่มเอม/ขอบคุณ/ยอมรับการจากลา | ช็อก–ดราม่า–คาใจ |
| เส้นเรื่อง | ปูทางสู่บทสรุปอย่างมีเกียรติ | ตัดฉับไวรัล แล้วปล่อยให้แผ่ว |
| คุณภาพแมตช์ | เลือกคู่ต่อสู้และรูปแบบให้เหมาะ | หลายแมตช์ถูกมองว่าห่วยมากกว่าดี |
| Legacy | ปิดท้ายโดยไม่หักล้าง Never Give Up | จบด้วย Tap Out ที่เสียงแตก |
3) ไวรัลมาไวไปไว: คนขาจรดูคลิป แต่แฟนตัวจริงต้อง “อยู่กับความไม่คุ้ม”
การเป็นอธรรมของ Cena ทำยอดวิวถล่มทลาย คลิปไฮไลท์ถูกแชร์ทั่วโซเชียล คนที่ไม่ดูมวยปล้ำมานานกลับมาพูดถึง WWE อีกครั้ง แต่ประเด็นคือ “คนดูแบบคลิป” ไม่ใช่คนที่จะอยู่ดูรายสัปดาห์
พอกระแสเริ่มซา แฟนตัวจริงกลับต้องแบกความรู้สึกว่า นี่คือปีสุดท้ายของคนที่รัก แต่ได้ดูเขาในบทที่ไม่เป็นธรรมชาติ ปล้ำแมตช์ที่ไม่พาไปสู่ความทรงจำที่ควรได้รับ และที่เจ็บกว่านั้นคือหลายสนาม คนดูโห่ไม่ลง เพราะรู้ดีว่านี่คือช่วงสุดท้ายแล้ว จนบางครั้ง “ฮีลที่ควรถูกโห่” กลับถูกเชียร์แทน
ในมุมของสายวิเคราะห์กระแสแบบ UFA777 ภาพนี้สะท้อนชัดว่า “ไวรัลไม่เท่ากับความผูกพัน” และการเล่าเรื่องแบบหวังช็อกระยะสั้น อาจทำลายความรู้สึกระยะยาวได้ง่ายกว่าที่คิด
4) ครึ่งปีหลัง: กลับเป็นธรรมะ แต่ปัญหาเรื่อง “ดีไซน์แมตช์” ยังไม่หาย
เมื่อ WWE เห็นว่าบทอธรรมของ Cena ไม่เวิร์คตามที่หวัง ก็ปรับแผนให้เขาเสียแชมป์คืน Cody ใน SummerSlam และกลับมายิ้ม กลับมาเป็น Cena ที่คนดูอยากเห็นอีกครั้ง ซึ่งช่วงนั้นเองแมตช์กลับออกมาดีมาก ถึงขั้นได้รับคำชมหนัก และกลายเป็นตัวอย่างว่า “ถ้าตั้งใจเล่า” Cena ยังทำให้คนดูอินได้
แต่หลังจากนั้น WWE ยังมีการจับคู่และดีไซน์แมตช์ที่ถูกมองว่าน่าผิดหวังหลายครั้ง เช่น
- แมตช์ที่โดน Brock Lesnar ยำแบบหมดสภาพ จนคนดูรู้สึกเหมือนมาดู “ฮีโร่ถูกทำลาย”
- แมตช์ที่จบด้วยการแทรกแซง/บทตัดฉับจนคนดูไม่อิ่ม
สิ่งที่ทำให้แฟนคาใจคือ “นี่คือปีสุดท้าย” แต่กลับมีหลายแมตช์ที่เหมือนใช้ Cena เป็นเครื่องมือพล็อต มากกว่าสร้างบทอำลาที่สมศักดิ์ศรี
5) ความจริงจากปากเจ้าตัว: ไอเดียเทิร์นฮีลดี แต่การเดินเรื่องไม่มีเวลาและขาดแรงหนุน
ก่อนปล้ำแมตช์สุดท้าย Cena ให้สัมภาษณ์หลายสื่อ ยอมรับตรง ๆ ว่าเรื่องราวปีรีไทร์ “เล่าได้ดีกว่านี้” โดยเฉพาะการเทิร์นฮีลที่ต้องการเวลาในการสร้างความเชื่อ และต้องมีการสนับสนุนในเชิงการปูทาง ไม่ใช่โยนให้เขาแบกโปรโมคนเดียวจนบทบาทดูฝืน
สิ่งสำคัญที่คนดูได้จากคำพูดของ Cena คือ “เขารู้ว่ามันล้มเหลว” แต่เขาไม่ปฏิเสธ เขาเลือกทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะมองว่า WWE คือบ้านและบุญคุณ เขาจึงยอมเล่นตามบทแม้ไม่สมบูรณ์
6) ฉากจบที่เสียงแตก: แพ้ได้…แต่ Tap Out ทำลายความหมายของ Never Give Up หรือไม่?
แมตช์สุดท้ายของ Cena เกิดขึ้นใน Saturday Night’s Main Event วันที่ 13 ธันวาคม 2025 ต่อหน้าแฟนกว่า 19,000 คน คู่ต่อสู้คือ Gunther นักมวยปล้ำสายเทคนิคสุดโหดที่ถูกยกย่องว่าดีที่สุดคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน
แมตช์ยาวกว่า 20 นาที Cena สู้สุดกำลัง แต่สุดท้ายแพ้ด้วยการ Tap Out จาก Sleeper Hold
จุดนี้เองที่ทำให้เสียงในสนามแตกเป็นสองฝั่งทันที
- ฝั่งแรก: ไม่อยากเห็นฮีโร่ปีสุดท้ายแพ้เลย ควรจบด้วยชัยชนะเพื่อความทรงจำ
- ฝั่งสอง: แพ้ได้ แต่ “Tap Out” คือสิ่งที่หักคติ Never Give Up โดยตรง ถ้าจะให้แพ้ ควรแพ้แบบสลบ หรือแพ้แบบโดนกดนับสามมากกว่า
เสียงโห่หลังจบแมตช์ดังจนทีมงานหลังฉากเองก็เหมือนรับมือไม่ทัน และกลายเป็นภาพจำที่แรงที่สุดของปี 2025 ในแง่ “ความรู้สึกคนดู”
7) แล้วมันคือการยกย่อง หรือการเหยียบย่ำ?
ถ้ามองด้วยเลนส์ธุรกิจ–บันเทิง WWE อาจได้ “โมเมนต์ไวรัล” และได้ “การส่งไม้ต่อ” ให้คนรุ่นใหม่ แต่ถ้ามองด้วยเลนส์ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับคนดู ปีสุดท้ายของ Cena มีหลายช่วงที่เหมือนปล่อยให้เขาแบกความไม่สมบูรณ์ของการเล่าเรื่องแทน
อย่างไรก็ดี มีอีกมุมหนึ่งที่น่าคิด: Cena เองดูจะ “ยอมรับ” ฉากจบแบบ Tap Out และมองว่ามันคือการจากลาอย่างสงบ การสื่อสารกับคนดูครั้งสุดท้าย และการส่งต่ออนาคตให้คนรุ่นใหม่แบบไม่หวงเวที
บทสรุป: Bad Ending ในปีรีไทร์…ไม่แรงพอทำลายมรดกของ John Cena
ต่อให้ปี 2025 จะมีบทที่ทำให้แฟนหลายคนผิดหวัง ทั้งการเทิร์นฮีลที่ฝืนธรรมชาติ เส้นเรื่องที่มาไวไปไว และฉากจบ Tap Out ที่ค้านกับคำว่า Never Give Up แต่มันก็ยังไม่อาจลบสิ่งที่ John Cena สร้างมาตลอดกว่า 20 ปีได้
เขาคือคนที่เคยถูกมองว่าไร้อนาคต แต่ค้นหาตัวเองจนเจอ สร้างยุคของตัวเองขึ้นมา พา WWE เดินผ่านทั้งคำชมและคำด่า จนกลายเป็นแชมป์โลก 17 สมัย และเป็นสัญลักษณ์ของคำว่า “ทำเพื่อคนดู” อย่างแท้จริง
ในท้ายที่สุด ต่อให้ WWE จะเล่า Retirement Tour ได้ดีกว่านี้ แต่ Legacy ของ Cena ไม่ได้ฝากไว้ที่แมตช์สุดท้ายเพียงคืนเดียว มันฝากไว้ในความทรงจำของแฟนทั่วโลกที่เติบโตมากับเขา และยังยืนยันซ้ำว่า “มรดกที่แท้จริง” ไม่ได้ถูกทำลายง่าย ๆ แค่เพราะบทสรุปที่คนดูไม่เห็นด้วย
และถ้าถามว่าปีสุดท้ายของ Cena ให้บทเรียนอะไรกับวงการนี้ คำตอบอาจเป็นประโยคเดียวที่ทั้งแฟนและสายวิเคราะห์ใน UFA777 เว็บแทงบอล น่าจะเข้าใจตรงกัน การอำลาไม่ใช่แค่การทำให้คนดูช็อก แต่คือการทำให้คนดู “รู้สึกคุ้ม” ที่รักใครสักคนมาตลอดทาง